ล่าสุดในงาน WWDC17 แอปเปิลได้ Apple เปิดตัว iOS เวอร์ชันใหม่ล่าสุด คือ iOS 11 มาพร้อมกับ macOS High Sierra, watchOS 4 และ tvOS 11 โดยมีฟีเจอร์หลัก ๆ ของ iOS 11 มีดังนี้
iMessages
- ย้ายแถบเลือกสติกเกอร์ลงมาด้านล่าง ให้สามารถเรียกใช้งานได้ง่ายขึ้น
- Messages in iCloud: ซิงก์ข้อความทั้งหมดระหว่างอุปกรณ์ได้แบบ Real-time
Apple Pay
- สามารถโอนเงินให้เพื่อนผ่าน Apple Pay ที่ผูกกับบัญชีธนาคารผ่าน iMessages ได้
Apple Maps
- แสดงรายละเอียดภายในอาคาร ห้างสรรพสินค้า สนามบินในแต่ละชั้น เหมือน Google Maps
- แสดงความเร็วสูงสุดที่สามารถวิ่งได้บนถนนแต่ละเส้น
- แสดงเลนบนถนนและแนะนำเลนที่ต้องเข้าก่อนทำการเลี้ยว
- Do Not Disturb: เมื่อเชื่อมต่อ CarPlay จะไม่มี Notification แสดงบน iPhone และไม่สามารถใช้งาน iPhone ได้ และเมื่อมีคนส่งข้อความมาหา จะมีข้อความตอบกลับอัตโนมัติว่ากำลังขับรถอยู่ จะตอบกลับภายหลัง
Home
- รองรับ Speaker ภายในบ้าน
- AirPlay 2: สามารถเล่นเพลงได้พร้อมกันหลาย ๆ ลำโพงพร้อมกัน, สามารถแชร์เพลงจาก Apple Music, สามารถใช้งานกับ Apple TV รุ่นใหม่ได้
- เปิด AirPlay 2 audio API ให้นักพัฒนา
Apple Music
- สามารถกด Follow เพื่อนที่ใช้ Apple Music ได้ และดูว่าเพื่อนฟังเพลงอะไร, Playlist ไหนบ้าง
- เปิดตัว MusicKit for Apple Music
App Store
- ไอคอนใหม่ หน้าตาเหมือนกับ tvOS
- ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด มาพร้อม 5 แถบใหม่ ได้แก่ Today, Games, Apps, Updates และ Search
- Today: แสดงคลิปตัวอย่างสั้น ๆ เนื้อเรื่องของเกม เทคนิคต่าง ๆ ของแอพที่ถูกแนะนำในวันนี้
- Games & Apps: สามารถกดดูเนื้อเรื่องย่อของเกม คลิปวิดีโอวิธีเล่น แนะนำเกม และดูคะแนนรีวิวได้ง่ายขึ้น และเมื่อเราทำการรีวิวแอพ นักพัฒนาสามารถตอบกลับรีวิว คอมเมนท์ของเราได้
Siri
- Multi Results: สามารถแสดงผลการค้นหาได้หลายอย่างในการค้นหาครั้งเดียว
- Translation (Beta): สามารถแปลภาษาและกดให้ Siri พูดได้ทันที โดยตอนนี้รองรับแค่ ภาษาอังกฤษ แปลเป็นภาษาจีน, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปน
- รองรับ Workout, สแกน QR Code, Car Controls, VoIP Calling, การค้นหารูปภาพ, การจ่ายเงินต่าง ๆ
- Siri สามารถใช้งานระหว่างอุปกรณ์ได้ เช่น ตั้งนาฬิกาปลุกจาก Mac และ Siri จะไปตั้งปลุกให้ใน iPhone ซึ่งเวอร์ชันปัจจุบันทำไม่ได้
Camera
- มาพร้อมเทคโนโลยี High Efficieny Video Coding (HEVC) ที่จะทำให้บีบอัดข้อมูลได้มากขึ้น 2 เท่า ทำให้ภาพและวิดีโอมีขนาดไฟล์เล็กลงในขณะที่คุณภาพเท่าเดิม
- ปรับปรุงคุณภาพจาก Portrait Mode ใหม่, ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น, ปรับปรุงระบบกันสั่น, True Tone Flash, HDR
- เปิดตัว Depth API ให้กับนักพัฒนา
Photos
- Portrait Movie: สามารถสร้างวิดีโอจาก Memories ซึ่งสามารถแสดงได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
- Live Photos: สามารถทำ Trim, เลือกรูปให้เป็นรูปหลัก, ปิดเสียงได้, ทำเป็น Loop, Bounce และสามารถสร้างรูปที่มี Long Exposure เหมือนบนกล้อง DSLR ได้
Control Center
- ออกแบบหน้าตา Control Center ใหม่ทั้งหมด โดยรวมหน้า Now Playing และ Home อยู่ในหน้าเดียว
- สามารถใช้ 3D Touch ในการค้นหาปุ่มฟังก์ชันอื่น ๆ เพิ่มเติมได้
Machine Learning
- iOS 11 สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้ได้ ซึ่งจะคาดเดาสิ่งที่เรากำลังจะพิมพ์ โดยแอปเปิลให้คอนเซ็ปของเทคโนโลยีนี้ว่า จะเป็นการคาดเดาสิ่งที่เราต้องการ และทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น
- เปิดตัว CoreML ให้กับนักพัฒนา
Augmented Reality (AR)
- แอปเปิลสาธิตการใช้ AR ในการสร้างงานกราฟฟิกในชีวิตจริง ซึ่งจะใช้กล้อง, CPU, GPU และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ในเครื่องเพื่อใช้งานเทคโนโลยี AR
- เปิดตัว ARKit ให้กับนักพัฒนา
iPad + iOS 11
- The Dock: สำหรับบน iPad แอปเปิลได้ออกแบบ Dock ใหม่ให้สามารถใส่แอพได้มากขึ้น ซึ่งหน้าตาจะเหมือน Dock บน macOS ซึ่งเราสามารถเรียก Dock ขึ้นมาเพียงแค่ใช้นิ้วปาดขึ้นจากด้านล่าง
- Multitasking: ขณะที่เราเปิดแอพหนึ่งอยู่ เราสามารถลาก Dock ขึ้นมาและลากแอพจาก Dock มาเพื่อเปิดอีกหน้าต่างหนึ่ง ซึ่งสามารถแสดงเป็นแบบ Pop-up หรือแบบ Split View เหมือนกับ iOS 10 ได้
- App Switcher: มีการออกแบบ App Switcher ใหม่ โดย Control Center จะย้ายไปอยู่ด้านข้างของ App Switcher เนื่องจากเมื่อปาดนิ้วขึ้นจะเปลี่ยนเป็น Dock แล้ว
- Drag & Drop: เมื่อเราเปิดแอพ 2 แอพพร้อมกัน เราสามารถลาก URL, รูปภาพ, ตัวอักษร และอื่น ๆ ข้ามไปยังอีกแอพนึงได้
- Multi-Select: เมื่อเราทำการเลือกไฟล์หรือรูปภาพ เราสามารถใช้นิ้วอีกมือจิ้มรูปอื่นเพื่อเลือกหลาย ๆ รูปได้
- QuickType: เราสามารถใช้นิ้วปาดลง เพื่อพิมพ์ตัวอักษรที่อยู่ด้านบน โดยไม่ต้องกด Shift
- File: แอพ File จะเป็นการรวมบริการ Cloud ทั้งหมดมาไว้ในที่เดียวกัน เช่น iCloud Drive, Dropbox, Google Drive เป็นต้น โดยสามารถ ใส่ Tag, ทำ Favorite Folder ได้
- Markup: สามารถใช้นิ้วหรือ Apple Pencil วาดหรือเขียนโน้ตลงไปใน Safari, ไฟล์ PDF ได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งแอพนอก และเมื่อทำการแคปหน้าจอเราสามารถเขียนอะไรลงไปบนรูปได้เลยโดยไม่ต้องเข้าไปที่ Camera Roll
- Instant Notes: สามารถใช้ Apple Pencil เคาะที่หน้า Lock Screen แล้วจะเด้งไปที่หน้า Notes ได้ทันที
- Searchable writing: สามารถพิมพ์ค้นหาข้อความที่เราเขียนลงไปได้
- Inline drawing: สามารถแทรกรูปที่วาดลงไปบน Notes ได้
- Document Camera: สามารถถ่ายรูปหรือสแกนเอกสารได้แล้ว
อัพเดทได้เมื่อไหร่
iOS 11 จะเปิดให้คนทั่วไปสามารถ Update ได้ในฤดูใบไม้ร่วง (ประมาณเดือนกันยายน หลังเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ปีนี้) และแน่นอนว่าจะเปิดให้นักพัฒนาทดลองใช้เวอร์ชัน Beta ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าไปลงชื่อได้ที่ Apple Beta Software Program เพื่อรอทดสอบ Public Beta ได้แล้ว ซึ่งน่าจะมาหลังจาก Beta สำหรับนักพัฒนาไม่นานนัก
เครื่องไหนรองรับบ้าง ??
สำหรับ iPhone ตอนนี้แอปเปิลได้ลอยแพ iPhone 5 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วน iPad ตอนนี้รองรับ iPad รุ่นที่ 5 ที่พึ่งเปิดตัวไป, iPad mini 2 ขึ้นไป, iPad Air 1 และ 2, iPad Pro ทุกรุ่น และ iPod touch รุ่นที่ 6
Leave a Reply
ขอบคุณ macthai